ได้ชม 5 จุดชมวิวสวยๆใน จันทบุรี กันไปแล้วที่ "รีวิวแนะนำท่องเที่ยว 5 จุดชมวิวบ้านท่าแคลงที่ไปแล้วจะรัก@จันทบุรี" สำหรับรีวิวนี้เราจะมาตามล่าหาอีก 2 จุดชมวิวของ จันทบุรี ที่ต้องใช้ความพยายามในการไปถึงกันสักหน่อย การเดินทางจะออกแนวผจญภัยนิดๆ แต่เมื่อไปถึงแล้วรับรองว่าคุณจะหายเหนื่อยอย่างแน่นอน (แต่ไม่หายร้อนนะ ฮาๆๆๆ) ซึ่งจุดชมวิวทั้ง 2 จุดนี้อยู่ในบริเวณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ส่วนการเดินทางและวิวทิวทัศน์จะเป็นอย่างไรเชิญตามชมกันต่อเลยครับ
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน (Khung Kraben Wildlife Reserve or Khung Kraben Non Hunting Area) ตั้งอยู่ที่ตำบล คลองขุด อำเภอ ท่าใหม่ จังหวัด จันทบุรี ประเทศไทย ที่นี่ได้ถูกประกาศให้เป็น เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ.2542 รับผิดชอบพื้นที่ป่าจำนวน 18.19 ตารางกิโลเมตร สภาพป่าแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ป่าชายหาด และป่าชายเลน พันธุ์ไม้ที่พบมีมากกว่า 400 ชนิด เช่น ไม้แต้ว ไม้หว้าหิน ไม้พะยูง เป็นต้น ส่วนสัตว์ป่าที่พบมีประมาณ 308 ชนิดมีทั้ง นก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น เก้ง กระจงหนู เหยี่ยวแดง ตะกวด เป็นต้น
เราเดินทางด้วยรถยนต์ใช้เส้นทาง ถนนเฉลิมบูรพาชลทิต เป็นหลักผ่าน หาดเจ้าหลาว แล้วขับขึ้นเขาไปประมาณ 1 กิโลเมตรจะพบกับป้ายบอกทางเข้า เขตห้ามล่าสัตว์ป่าคุ้งกระเบน เราก็เลี้ยวตามป้ายเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็จะเจอกับทางเข้าที่มีป้อมติดต่อสอบถามและห้องจำหน่ายบัตรตั้งอยู่ ทำการซื้อบัตรผ่านโดยมีค่าเข้าดังนี้ เด็ก 10 บาท, ผู้ใหญ่ 20 บาท และชาวต่างประเทศ 200 บาท ส่วนยานพาหนะที่นำมาด้วยก็มีค่าเข้าดังนี้ รถจักรยาน 10 บาท, รถจักรยานยนต์ 20 บาท, รถยนต์ 4 ล้อ 60 บาท และรถยนต์ 6 ล้อ 100 บาท (ถ้าเป็นรถบัสใหญ่ผมว่าน่าจะไม่ให้เข้าเพราะเห็นมีลานจอดรถอยู่ก่อนหน้านี้) เปิดให้เข้าได้ตั้งแต่เวลา 08:00 น.จะถึง 16:30 น.
หลังจากซื้อบัตรผ่านเรียบร้อยเราก็ขับรถตรงเข้าไปยังที่จอดรถด้านในสุดใกล้ๆกับทางเดินไปยังจุดชมวิว ระหว่างทางเห็นลานกางเต็นท์ (Camp Ground) ซึ่งที่นี่ก็ให้บริการผู้ที่ชื่นชอบมาพักค้างแรมแบบกางเต็นท์ โดยคิดค่าบริการแบบนำเต็นท์มาเองหลังละ 100 บาท/วัน (หากจะเช่าเต็นท์คงต้องโทรสอบถามราคาก่อน) มีห้องสุขาห้องอาบน้ำให้พร้อม นอกจากนี้ยังมีบ้านพักเป็นหลังให้บริการอีกด้วย พอจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จัดเตรียมเครื่องแต่งกายโดยเฉพาะรองเท้าควรจะใส่รองเท้าผ้าใบ และอุปกรณ์ที่ต้องนำติดตัวใช้ในการเดินทาง ที่ขาดไม่ได้ก็คือ น้ำดื่ม และร่มกันแดด ขอย้ำว่ากันแดดไม่ใช่กันฝนนะจะบอกให้ หากจะไปชมวิวตอนพระอาทิตย์ตกน้ำด้วยก็ขอให้พกไฟฉายไปด้วย จากนั้นก็เดินตามป้ายบอกทางที่เขียนว่า "หินสีชมพู"
เนื่องจากเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติมีอยู่ 2 เส้นทางคือ เริ่มเดินขึ้นไปบนเขาก่อน หรือ เริ่มเดินลัดเลาะไปตามหาดหินริมทะเลก่อน โดยที่ไม่ว่าจะเริ่มเดินไปทางไหนก่อน สุดท้ายก็จะไปบรรจบกันเป็นวงกลมอยู่ดี สำหรับครั้งนี้เราเห็นว่าเส้นทางริมทะเลอาจจะเดินยากกว่าเนื่องจากระดับน้ำยังอยู่สูง จึงตัดสินใจเดินขึ้นเขาและก็กลับทางเดิมจะดีกว่า โดยมีเส้นทางเดินตามรูปที่แสดงไว้ด้านล่างนี้ครับ
Image from Google Maps |
จุดชมวิวเขาบ่อเตย ตรงนี้พื้นที่โล่งกว้างเป็นจุดชมวิวมุมสูงที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก สามารถชมวิวสวยได้อย่างกว้างไกลในเวลากลางวัน ดูแล้วก็มีแต่ยอดเขาที่เรายืนกับน้ำและท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หรือจะชมและถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกน้ำในตอนเย็นก็มีความสวยงามไม่แพ้ที่ใด วันที่เรามาเป็นวันฟ้าเปิดแดดแรงมีเมฆน้อยและอากาศร้อนมาก ทำให้เราต้องหยุดพักชมวิวและถ่ายรูปกันอยู่ตรงนี้นานหน่อย
ชมวิวจนหายเหนื่อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันต่อ ตั้งแต่นี้ไปจะเป็นทางเดินที่ไม่ได้ทำเป็นขั้นบันไดเหมือนช่วงที่ผ่านมา และไม่ต้องห่วงว่าจะหลงทางเพราะมีเจ้าตูบสีน้ำตาล เป็นไกด์คอยนำทางให้ตั้งแต่เริ่มเดินขึ้นเขามาแล้ว เราเดินลงเขามาตามทางเดินหน้าผาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในป่าอีกที ช่วงอยู่ในป่าก็จะมีร่มเงาหน่อยเดินประมาณ 150 เมตรก็พ้นออกจากป่า พอมองไปด้านล่างข้างหน้าก็จะเห็น หาดหินสีชมพู เราเริ่มใกล้เป้าหมายแล้วครับ
จากตรงนี้ไปก็ต้องใช้ความระมัดระวังกันมากหน่อย เพราะทางเดินจะมีแต่ก้อนหินใหญ่ทำให้เดินยากนิดนึง พอลงมาถึงบริเวณ หาดหินสีชมพู ที่มีหินสีชมพูหวานๆเต็มไปหมดดูแล้วสวยงามยิ่งนัก แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่จุดแลนด์มาร์คจริงๆเราจะต้องเดินเลียบทะเลไปทางซ้ายอีกนิดนึง ระหว่างทางเดินไปเราก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆครับ
และแล้วเราก็มาถึงแล้วครับ จุดชมวิวลานหินสีชมพู ที่เป็นแลนด์มาร์คยอดนิยมแห่งใหม่ของ จันทบุรี และเป็น ลานหินสีชมพู แห่งเดียวที่พบในประเทศไทยด้วย จากตรงนี้เราจะเห็น ลานหินสีชมพู เป็นฉากหน้าพร้อมกับ เกาะช่องเขาสะบ้า เป็นฉากหลังทำให้ถ่ายรูปดูสวยงามดี หากได้จังหวะเวลาก็จะมีเรือประมงที่วิ่งผ่านแถวนั้นมาเข้ากล้องเราพอดี ส่วนการที่หินเหล่านี้มีสีออกชมพูแดงหรือน้ำตาลแดงก็เนื่องมาจากหินเหล่านี้เป็นหินทรายที่มีแร่ 3-4 ชนิดผสมอยู่ เช่น แร่เหล็กออกไซด์ แร่โดโลไมต์ แร่แคลไซต์ เป็นต้น
สำหรับผมแล้วจุดไฮไลท์ของ ลานหินสีชมพู จะอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ หากสังเกตุดูที่รูปคู่ด้านบนนี้จุดไฮไลท์ที่ผมชอบจะอยู่ด้านหลังของภรรยาและผม ที่ๆเป็นปลายแหลมยื่นไปทางด้านขวาของภาพครับ พอถ่ายรูปเสร็จจากตรงนี้เราก็เดินต่ออีกนิดหน่อย แต่คราวนี้ทางเดินไปนั้นไม่ง่ายเพราะระดับน้ำยังสูงอยู่ ทำให้ต้องออกแรงปีนป่ายข้างกำแพงหินสีชมพู เล่นเอาเกือบไม่รอดเหมือนกันแต่ก็ผ่านไปได้ จนมาถึงจุดปลายสุดที่เป็น ลานหินสีชมพู ยื่นไปในทะเลพุ่งตรงไปยัง เกาะช่องเขาสะบ้า ช่างดูสวยงามแปลกตาไม่เหมือนที่ไหนๆเห็นด้วยไหมครับ
หลังจากถ่ายรูปและพักเหนื่อยได้ไม่นานก็ได้เวลากลับแล้ว เพราะแดดช่างร้อนแรงเสียเหลือเกิน จากจุดที่เราเริ่มเดินขึ้นเขาจนมาถึงตรงนี้มีระยะทางประมาณ 500 เมตรและใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงครึ่งโดยเดินไปถ่ายรูปไปและพักไป ขากลับเราก็เดินกลับทางเดิมตามที่ได้วางแผนไว้ก่อนแล้ว โดยใช้เวลาเพียง 30 กว่านาทีเท่านั้น รวมแล้วทริปนี้เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 3 ชั่วโมง และตลอดทางที่เราเดินเราก็ได้ไกด์เจ้าตูบสีขา คอยนำทางให้จนถึงจุดหมายปลายทางทั้งขาไปและขากลับ
..^_^..