ประเทศญี่ปุ่นเมื่อมีประกาศยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศสำหรับคนไทยแล้ว มันจึงเป็นจุดหมายจุดหนึ่งที่น่าไปสัมผัสเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะไปยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ อีกทั้งมรดกทางวัฒนธรรมที่เก่าแก่น่าไปชมยิ่งนัก นอกจากประวัติศาสตร์และเรื่องราวในอดีตแล้วเทคโนโลยีต่างๆที่ล้ำสมัยกว่าประเทศไทยมากก็เป็นสิ่งที่น่าไปดูและน่าไปศึกษาอยู่ไม่น้อย
วันหนึ่งมีเพื่อนมาถามว่าอยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยกันไหมเพราะกำลังหาสมาชิกเพิ่มให้เต็มรถบัสเล็กหนึ่งคัน ผมก็เลยโทรศัพท์ไปถามภรรยาทันทีว่าอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นไหม จริงๆก็ไม่น่าถามคนที่ยังไม่เคยไปเหยียบดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยนี้มาก่อนเลย เพราะคำตอบที่ได้แบบไม่ลังเลก็คือ"ไป" เราออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์เวลาประมาณเที่ยงคืน ใช้เวลาในการเดินทางประมาณห้าชั่วโมงครึ่งก็มาถึงท่าอากาศยานสนามบินนานาชาตินะริตะ (Narita International Airport) ในเมืองนะริตะ (Narita) จังหวัดชิบะ (Chiba) ประเทศญี่ปุ่น (Japan) ในเวลาเช้าราวๆเจ็ดโมงกว่าแปดโมง ระหว่างที่บินอยู่เหนือประเทศญี่ปุ่นทางกับตันได้ประกาศบนเครื่องบินให้เราได้ชมภูเขาไฟฟูจิจากบนเครื่องขณะที่เครื่องบินกำลังบินผ่านพอดีผ่านหน้าต่างของเครื่องบินที่เหมือนจะทำความสะอาดไม่บ่อยนัก
เราลงจากเครื่องบินและเข้าขั้นตอนการผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็มีติดขัดเล็กน้อยตรงที่เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจขอดูเอกสารการเข้าพักหรือจองโรงแรมในญี่ปุ่น แต่เราไม่ได้เตรียมไปแสดงให้เขาดู เราก็พยายามชี้แจงเขาไปว่าได้จองผ่านทางอินเตอร์เน็ต ถ้าหากอยากจะดูเอกสารก็ต้องเปิดเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตซึ่งเราไม่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ตในขณะนั้นได้ เขาก็เลยปล่อยให้ผ่านๆไปแบบไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
วิธีการเดินทางตลอดทริปนี้เราใช้วิธีเช่ารถบัสเล็กขนาด 15 ที่นั่งพร้อมคนขับรถเอาไว้ ซึ่งก็เพียงพอกับคณะของเราที่มีทั้งหมด 13 คนพร้อมกับกระเป๋าเดินทางพอดิบพอดี เมื่อรอรวมกลุ่มกันหลังจากผ่านตม.และรับกระเป๋าเดินทางพร้อมกันแล้วก็ออกไปขึ้นรถบัสที่รอกลุ่มของเราอยู่แล้ว พอประตูอาคารสนามบินเปิดเรารู้ก็สึกได้ทันทีถึงอากาศเย็นที่เข้ามาปะทะร่างกาย แต่เมื่อมองไปรอบๆนอกอาคารก็ยังไม่เห็นมีหิมะเลยสักนิด ซึ่งการได้เห็นหิมะตกนั้นมันเป็นจุดประสงค์หลักของเราเลยในทริปนี้
เดินไปสักพักเราก็เจอคนขับรถซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นที่สามารถพูดและฟังภาษาไทยได้แต่อาจจะไม่คล่องนัก พวกเราเรียกเขาในชื่อภาษาไทยว่า "คุณอิสระ" พูดกันแต่ละทีต้องคอยก้มหัวคำนับตลอด หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางขึ้นรถบัสเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินทางกันในทันที ตลอดการเดินทางของคณะเราจะมีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง คอยอธิบายข้อมูลความรู้ต่างๆที่ควรหรือต้องปฏิบัติระหว่างที่ท่องเที่ยวอยู่ในประเทศญึ่ปุ่นให้เราได้ฟัง ซึ่งพวกเราเรียกเธอว่า "ป้าแขก"
จุดหมายปลายทางในวันแรกที่เราจะไปเที่ยวก็คือหมู่บ้านชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) อยู่ที่เมืองทะกะยะมะ (Takayama) ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโกเมื่อปี คศ.1995 ระหว่างทางเราก็ผ่านเมืองหลวงโตเกียวสามารถมองเห็นโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) และยังมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อีกด้วย เราเดินทางมาได้สักระยะคุณอิสระคนขับรถชาวญี่ปุ่นของเราก็แวะจอดรถพักรถริมทางเพื่อให้เราได้เข้าห้องน้ำและทำธุระส่วนตัวกัน อากาศที่นี่เย็นสบายแต่ก็ยังไม่เห็นหิมะอยู่ดี หลังจากเข้าห้องน้ำแล้วเราก็เดินหาของกินกันสักหน่อย ก็ได้ขนมปังยากิโซบะราคา 650 เยนและกาแฟร้อนกระป๋องที่กดจากตู้ขายอัตโนมัติราคา 150 เยน หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางกันต่อ
ตลอดการเดินทางที่อยู่บนรถบัสผมก็หลับๆตื่นๆเนื่องจากนอนบนเครื่องบินไม่เต็มอิ่ม พอมาถึงเมืองซุวะ (Suwa) จังหวัดนะงะโนะ (Nagano) ก็ได้เวลาอาหารมื้อกลางวันพอดีคุณอิสระโชเฟอร์ของเราก็ได้จอดแวะที่พักริมทาง ซึ่งมีร้านอาหารด้วย เราสั่งอุด้งราคา 1,000 เยนและข้าวหน้าหมูราคา 700 เยนมาทานกัน สังเกตุเห็นการออกแบบช้อนซุปของที่นี่ไอเดียดีมาก ที่จุดนี้ยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของเมืองนะงะโนะที่สวยงามมาก เราเดินถ่ายรูปกันไปหลายภาพหลังจากถ่ายรูปจนพอใจเราก็ออกเดินทางต่อเพราะยังเหลือระยะทางอีกไกล
เดินทางผ่านเมืองต่างๆมาเรื่อยๆเราเริ่มเห็นภูเขาที่มียอดถูกปกคลุมไปด้วยหิมะอยู่ไกลๆ เวลาประมาณสี่โมงเย็น พวกเราก็มาถึงเมืองทะกะยะมะ (Takayama) จังหวัดกิฟุ (Gifu) ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น บรรยากาศในเวลานั้นเย็นและดูท้องฟ้าเหมือนตอนหกโมงเย็นเลย พวกเราจึงรีบลงจากรถบัสเพื่อไปถ่ายภาพเก็บบรรยากาศของเมืองเก่าแห่งนี้ และที่สำคัญเมื่อมาที่นี่แล้วก็ต้องถ่ายรูปกับสะพาน Nakabashi ที่มีราวสะพานสีแดงสดกันครับ เราใช้เวลาถ่ายรูปเดินเล่นกันประมาณ 1 ชั่วโมงก็ต้องรีบออกเดินทางต่อเพราะยังเหลือระยะทางอีกประมาณ 50 กม. ซึ่งเป็นทางบนภูเขาก่อนก็จะถึงที่หมาย แต่ก่อนขึ้นรถขอทานไอศครีมเย็นๆในที่อากาศเย็นๆสักหน่อย
คณะของเรามาถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้คือที่หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกะในเวลาประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ และเข้าที่พักทันทีเพราะในเวลานั้นข้างนอกมืดมาก เราพักที่เกสท์เฮ้าส์ (Guest House) หมายเลข 6 ชื่อบ้าน Nodaniya ตามในรูปแผนที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะ ที่พักจะเป็นลักษณะแบบโฮมสเตย์บ้านชั้นเดียวรูปแบบ Gassho style โดยมีลักษณะหลังคาลาดลงมาดูเหมือนสามเหลี่ยมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ภายในบ้านจะแบ่งเป็นห้องๆมีทางเดินตรงกลางและห้องเรียงอยู่ซ้ายขวามีประตูแบบบานเลื่อนบุด้วยกระดาษ
การตกแต่งภายในห้องนอนจะปูพื้นด้วยเสื่อญี่ปุ่น หรือเรียกว่าเสื่อทาทามิ (Tatami Mats) มีโต๊ะกลาง เครื่องทำความร้อนแบบไฟฟ้า ประตูบานเลื่อนที่เรียกว่าโชจิ (Shoji Doors) ส่วนที่นอน หมอนผ้าห่มจะถูกเก็บไว้อยู่ในตู้ และก็มีชุดยูกาตะให้เราได้ใส่เวลาที่พักอยู่ที่นี่ด้วย ส่วนของห้องน้ำจะเป็นแบบห้องรวมและแยกระหว่างห้องอาบน้ำกับห้องส้วม คนญี่ปุ่นมักชอบนั่งอาบน้ำ เพราะอย่างนี้เขาถึงมีเก้าอี้เตี้ย และอุปกรณ์ต่างๆก็จะถูกวางอยู่ต่ำๆหรือวางไว้กับพื้นเลยครับ
หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้วเราก็ไปที่ห้องอาหาร เพื่อทานอาหารแบบพื้นบ้านของที่นี่ที่ทางเจ้าของบ้านชาวญี่ปุ่นได้จัดเตรียมไว้รออยู่แล้ว พอเปิดประตูก็พบกับอาหารที่ถูกจัดเป็นชุดวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับแต่ละท่านพร้อมทานได้ทันที อาหารพื้นบ้านของญี่ปุ่นอร่อยทุกอย่างเลย วัตถุดิบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นข้าว ปลา ผักต่างๆ ก็ล้วนแต่เป็นของที่หาหรือปลูกในพื้นที่ครับ เสร็จจากมื้อค่ำก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าและเข้านอน ตลอดการเดินทางตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำคืนนี้พวกเราชาวขณะผิดหวังมากที่ไม่เจอหิมะตอนกำลังตก ได้แต่ลุ้นกันมาตลอดทาง เจอแต่เพียงหิมะที่ตกไปแล้วบนพื้นเท่านั้น ทำให้เราต้องหลับไปด้วยความผิดหวังแต่ก็พูดปลอบใจกันว่าพรุ่งนี้น่าจะได้เห็น สำหรับคืนนี้...โอะยะซุมินะไซ... ราตรีสวัสดิ์ครับ ^_^
โปรดติดตามรีวิวตอนต่อไป ตอนที่ 2