รีวิวแนะนำท่องเที่ยวฮ่องกงด้วยตัวเองไม่ง้อทัวร์ 4 วัน 3 คืน [ตอนที่ 3]

0

กำหนดการท่องเที่ยววันที่สอง

รีพัลเบย์ (Repulse Bay) - กราบขอพรโชคลาภกับเจ้าแม่กวนอิมเและเทพเจ้าต่างๆ
Yick Cheong Building - ถ่ายรูปอาคารที่พักของชาวฮ่องกง
เดอะพีค (The Peak) - ขึ้นยอดเขาวิคตอเรียพีคชมความงามของเกาะฮ่องกงจากมุมสูง
ย่านมงก๊ก (Mong Kok) - ช้อปปิ้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ



ท่องเที่ยวจริง

เช้านี้เราออกจากที่พักกันเร็วหน่อยประมาณเจ็ดโมงเช้าไปทานมื้อเช้าที่ร้าน Hung Lee Restaurant ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ร้านนี้เป็นร้านที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบมาทานโจ๊กฮ่องกงกันที่นี่ ผมก็เลยต้องมาทานให้ได้ ร้านนี้มีเมนูเป็นภาษาไทยพร้อมราคาด้วยเยี่ยมยอดจริงๆ ตอนแรกก็ยังกังวลว่าจะสั่งยังไงเพราะผมกับภรรยามีเชื้อสายจีนแต่พูดภาษาจีนไม่ได้ซักคำ มื้อเช้านี้เราสั่งโจ้กหมูกับโจ๊กปลา และที่ขาดไม่ได้ก็คือปาท่องโก๋ทานกับโจ๊ก ส่วนตำแหน่งร้าน Hung Lee Restaurant ในย่านจิมซาโจ่ยก็ดูได้จากพิกัดในกูเกิ้ลแมพที่ให้ไว้นี้ครับ




ทานเสร็จเราก็เดินไปนั่ง MTR สายสีแดงที่สถานี Tsim Sha Tsui ทางเข้า D2 เพื่อไปลงสถานี Central ทางออก A จากนั้นเดินข้ามสะพานลอยไปยังสถานีรถบัสต้นสายที่ Central (Exchange Square) Bus Terminus ใต้อาคาร มีป้ายบอกทางชัดเจนครับ สายรถบัสประจำทางที่จะวิ่งไปยังรีพัลเบย์ก็มีสาย 6, 6A, 6X และสาย 260 โดยที่สาย 6 จะวิ่งข้ามภูเขา แต่สาย 6A, 6X และสาย 260 จะวิ่งลอดอุโมงค์ ใครอยากนั่งชมวิวใครไม่ชอบนั่งนานก็สามารถเลือกขึ้นได้ตามสะดวก สำหรับผมต้องการความรวดเร็วจึงเลือกขึ้นสาย 260 เพราะว่าลอดอุโมค์และจอดป้ายน้อยที่สุดครับ



พอขึ้นรถบัสเราก็เลือกนั่งเก้าอี้หน้าสุดติดกระจกของชั้นสองเพราะต้องการชมวิวไปตลอดเส้นทาง จากสถานีต้นทางเราก็จะไปลงที่ชาดหาดรีพัลเบย์ นั่งมาไม่นานนักเราก็เริ่มมองเห็นทะเลนั่นก็เป็นสัญญาณบอกว่าเราใกล้จะถึงป้ายที่จะลงแล้ว ป้ายที่จะลงนี้มันจะอยู่ด้านหน้าตึกที่มีรูขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง หรือดูพิกัดได้จากกูเกิ้ลแมพที่ให้ไว้นี้ได้ครับ ถ้าเห็นตึกนี้แล้วก็ให้เดินลงมาที่ประตูและกดกริ่งได้เลย เมื่อลงจากรถบัสแล้วก็ให้ข้ามถนน จะมีทางลงไปยังชายหาดซึ่งอยู่ตรงข้ามกับตึกที่มีรูนี้



พอลงถึงชายหาดที่มีรูปจันทร์เสี้ยวก็ให้เดินไปทางซ้ายมือระหว่างทางชมวิวถ่ายรูปได้ตามอัธยาศัย เราเดินกันมาเลื่อยๆจนเกือบสุดหาดก็จะเห็นศาลาเก๋งจีนที่มีรูปเทพเจ้าจีนสูง 10 เมตรประดิษฐานอยู่สององค์คือเจ้าแม่กวนอิม และเจ้าแม่ทินโห่ว  (Kwun Yum and Tin Hau Statues) นอกจากนี้ในบริเวณนั้นยังมีเทพเจ้าแห่งโชคลาภและองค์อื่นๆอีกให้เราได้กราบไหว้ขอพรกัน สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือสะพานต่ออายุทรงจีนที่มีสีแดงสด คนจีนเชื่อว่าถ้าเดินข้ามไปหนึ่งครั้งจะมีอายุยืนไปอีกสามปีเมื่อข้ามไปแล้วห้ามข้ามกลับเด็ดขาด



เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ในการขอพรให้สมปรารถนากันนานพอสมควรจนถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาก็ได้เวลาเดินทางต่อ เราเดินย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อมารอขึ้นรถบัสที่ป้ายตรงข้ามกับที่เรามาในตอนเช้า เรานั่งรถบัสสาย 63 ไปลงที่ป้าย Victoria Park บนถนน Causeway ในย่านคอสเวย์ เบย์  ในช่วงแรกเราเสียเวลาในการรอรถบัสสาย 65 อยู่นานเกือบชั่งโมงเต็มรถบัสก็ไม่มาสักที มาสังเกตุที่ป้ายอีกทีกลายเป็นว่ารอผิดสาย สาย 63 จะให้บริการในวันจันทร์ถึงวันเสาร์ แต่สาย 65 จะให้บริการเฉพาะวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น




พอลงรถบัสเราก็ต้องไปต่อด้วยรถราง (Tram) สองชั้น เราจึงเดินข้ามถนนไปป้าย Victoria Park ที่อยู่กลางถนนเพื่อรอขึ้นรถรางสาย Shau Kei Wan - Western Market เวลาขึ้นรถรางให้ขึ้นที่ประตูหลัง และเช่นเดียวกันแนะนำให้ขึ้นไปชั้นสองเพื่อจะได้ชมวิวตัวเมืองเกาะฮ่องกงได้ชัดเจน ส่วนเวลาลงให้กดกริ่งแล้วเดินมารอที่ประตูหน้าแล้วจ่ายค่าโดยสารโดยการแตะบัตรปลาหมึกที่เครื่องอ่านบัตรข้างคนขับ ผมมี
พิกัดป้ายจอดรถบัส Victoria Park และพิกัดป้ายจอดรถราง Victoria Park ซึ่งก็จะอยู่ติดกับป้ายจอดรถบัสที่เราลงนั่นแหละ เรียงตามลำดับมาให้ดูด้วยครับ





บรรยากาศการขึ้นรถรางที่ฮ่องกงนี้ให้อารมณ์เหมือนขึ้นรถเมล์ร้อนที่กรุงเทพฯเลยครับ แต่ต่างกันก็ตรงที่นี่เขาเป็นรถสองชั้นสามารถนั่งชมวิวได้กว้างไกลดีครับ เรานั่งกันมาได้ประมาณยี่สิบกว่านาทีก็ต้องลงที่ป้าย Mount Parker Road และเดินต่ออีกนิดนึงก็ถึง Yick Cheong Building ตำแหน่งป้ายรถรางนี้สามารถดูได้จากพิกัดในกูเกิ้ลแมพที่ให้ไว้ดังนี้ได้ครับ


แต่ก่อนที่จะเข้าไปถ่ายรูปตอนนี้หิวข้าวมากยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลย เดินไปเดินมาก็ไปเจอร้าน Cafe' De Coral อยู่ชั้นใต้ดินของตึก Yick Cheong Building ที่เราจะมานี่เอง ร้านนี้เป็นร้านฟาสต์ฟู้ดเก่าแก่ของฮ่องกง และมีหลายสาขาทั่วฮ่องกงเลยทีเดียว ในร้านมีรูปภาพอาหารและเมนูภาษาอังกฤษด้วย ที่สำคัญราคาไม่แพง เราสั่งอาหารและจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์แล้วเขาจะให้บัตรคิวมารอเรียก



มื้อนี้เราทานกันแบบค่อนข้างรีบเดี๋ยวจะเที่ยวไม่ครบตามโปรแกรม ทานเสร็จเราก็รีบขึ้นไปถ่ายรูปกับ Yick Cheong Building  ตึกนี้เป็นตึกที่อยู่อาศัยดูๆไปจะเรียกว่าแฟลตก็ได้ บ่งบอกถึงวิธีชีวิตที่อยู่กันอย่างแออัดในแนวตั้ง วิธีถ่ายรูปที่นี่ก็ใช้เทคนิคถ่ายเงยขึ้นฟ้า และถ่ายได้ทั้งกลางวันและตอนเย็นๆค่ำๆ พอดีเรามีโปรแกรมที่จะไปถ่ายแสงยามเย็นของเกาะฮ่องกงบนยอดเขาเดอะพีคจึงไม่ได้อยู่ถ่ายที่นี่กันในตอนเย็นครับ



ถ่ายรูปกันเสร็จก็เดินไปนั่ง MTR สายสีน้ำเงินที่สถานี Tai Koo ทางเข้า B ซึ่งอยู่ห่างเพียง 350 เมตร ไปลงที่สถานี Central ทางออก J2 เดินต่อไปยังพีคแทรม (The Peak Tram) เพื่อขึ้นรถรางไปยอดเขา Victoria Peak ระหว่างทางเดินจะผ่าน Bank of China Tower เดินมาสักพักทางจะเริ่มลาดชันเล็กน้อยเหมือนกำลังเดินขึ้นเขาทำเอาเมื่อยเหมือนกัน เราเดินมาถึงพีคแทรมประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ เห็นผู้คนต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋วกันยาวมาก แต่ผมได้ซื้อตั๋วขึ้น Peak Tram + Sky Terrace 428 มาจากกรุงเทพฯไว้เรียบร้อยแล้วราคาคนละ 310 บาท จึงเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่และแสดงบัตรให้ดู แต่เจ้าหน้ากลับบอกให้ไปต่อแถวทำให้เราถึงกับงงกันไปเลย

ยืนเข้าแถวอยู่ไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงถ้ายังช้าอยู่อย่างนี้ไม่ทันได้ถ่ายรูปเกาะฮ่องกงจากมุมสูงก่อนมืดเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็เดินออกจากแถวไปถามเจ้าหน้าที่อีกครั้ง (คนละคนกับครั้งแรก) ครั้งนี้เจ้าหน้าที่เปิดทางให้ผ่านเข้าได้เลย เราดีใจกันมากแต่ก็ยังต้องไปต่อแถวขึ้นรถรางด้านในอยู่ดี พอได้ขึ้นรถรางแล้วนึกว่าจะสบาย ที่นั่งเต็มต้องยืนเบียดเสียดกัน ขณะรถวิ่งขึ้นเขาก็ยืนแสนลำบากเพราะรถมันเอียงมาก ถ้าเอาคนแก่มายืนคงลำบากมาก



ไม่นานรถรางก็วิ่งมาถึงตึกพีคทาวน์เวอร์ (Peak Tower) ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง เรารีบลงจากรถและเดินขึ้นบันไดเลื่อนไปยัง Sky Terrace 428 ซึ่งอยู่ที่ชั้นดาดฟ้าของตึกนี้ พอถึงชั้น Sky Terrace 428 เราก็เบียดหาตำแหน่งยืนถ่ายรูปจนได้ถึงแม้จะไม่ได้ที่ๆดีตามที่หวังไว้ก็ตาม ขาตั้งกล้องไม่สามารถตั้งได้เพราะคนเยอะมาก ยืนถ่ายรูปกันสักพักจนฟ้ามืดสนิทก็ได้เวลากลับลงจากตึกเพื่อไปขึ้นรถรางกลับลงเขา ระหว่างลงจากตึกก็ได้พบดาราฮ่องกงชื่อดังและเป็นขวัญใจผมด้วยที่ด้านหน้า Madame Tussauds เลยขอเข้าไปถ่ายรูปด้วย ชื่อของเขาคือ บรูซ ลี



เราลงจากตึกพีคทาวน์เวอร์จะมาขึ้นรถรางกลับก็ถึงกับขาแข็งอีกครั้งเพราะแถวยาวมาก ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องทำใจอดทนยืนเข้าแถวต่อคิวได้อย่างเดียว หลังจากที่ได้ขึ้นรถรางลงมาจากยอดเขาแล้ว เราก็ลงจากรถรางและเดินต่อไปขึ้น MTR สายสีแดงที่สถานี Central ทางเข้า J2 ระหว่างที่เดินช่วงนั้นเป็นเวลาสองทุ่ม เราสังเกตุเห็นไฟบนตึกสูงแถวนั้นดับๆติดๆเป็นจังหวะ คิดว่าเราน่าจะอยู่ระหว่างช่วงที่มีการแสดง อะ ซิมโฟนี่ ออฟ ไลท์ แน่นอน



ผมและภรรยานั่ง MTR จากสถานี Central ไปลงสถานี Mong Kok ทางออก D3 เราเดินหาข้าวเย็นกินกันก่อนที่จะเดินเล่นช้อปปิ้งตลาดกลางคืนที่ย่านมงก๊ก เราก็เจอร้าน 榮園麵家 นี้ดูน่ากินดีและราคาไม่แพง ตำแหน่งร้านอาหาร 榮園麵家 นี้ดูได้จากพิกัดในกูเกิ้ลแมพที่ให้ไว้นี้ได้ครับ ทานเสร็จเดินได้ไม่นานรู้สึกเมื่อยและปวดขามากๆ ทำให้ต้องตัดสินใจกลับที่พักดีกว่าเดี๋ยวจะไม่มีแรงเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ สำหรับวันนี้ราตรีสวัสครับ




สรุปค่าเดินทางต่อคนวันนี้
Bus = 16.7 HKD
Tram = 2.3 HKD (Not included Peak Tram)
MTR = 22.6 HKD
รวม 41.6 HKD


โปรดติดตามรีวิวตอนต่อไป ตอนที่ 4
ย้อนกลับไปรีวิวตอนที่แล้ว  ตอนที่ 2, ตอนที่ 1




แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)