รีวิวแนะนำโปรแกรมตามเพื่อนไปประเทศญี่ปุ่น 5 วัน 4 คืน [ตอนที่ 3 : ชู้รักเรือไม่ล่ม]

0
โรงแรม ฟูจิ ฮาโกเนะ แลนด์

สวัสดียามเช้าในวันที่สามของการเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ผมลืมบอกไปว่านอกจากวิวทิวทัศน์อันสวยงามของโรงแรมแห่งนี้แล้ว เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่เรามานอนพักที่นี่ก็เพราะที่ตั้งของโรงแรมนี้อยู่ไม่ห่างจากทะเลสาบอะชิ ซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 5 กิโลเมตรหรือใช้เวลาเดินทางเพียง 15 นาทีเท่านั้น ถูกต้องแล้วครับโปรแกรมทริปในเช้านี้เราจะไปขึ้นเรือโจรสลัดล่องทะเลสาบอะชิกัน หลังจากเราทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จแล้ว เราก็แต่งตัวเก็บกระเป๋าเดินทางเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม แต่ก่อนออกก็ขอถ่ายรูปบริเวณรอบโรงแรมเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันสักหน่อย

โรงแรม ฟูจิ ฮาโกเนะ แลนด์
โรงแรม ฟูจิ ฮาโกเนะ แลนด์

เราออกจากโรงแรมกันในตอนเช้าประมาณแปดโมงครึ่ง มุ่งหน้าสู่ท่าเรือล่องชมวิวฮาโกเนะมาจิ (Hakone-machi Sightseeing Cruise Port) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่พักของเรา เรามาถึงทะเลสาบอะชิ (Lake Ashi) ในเมืองฮะโกะเนะ (Hakone) ก่อนเวลาเปิดให้ล่องเรือเวลาเก้าโมงครึ่งในตอนเช้า ก็เลยมีเวลาเดินเล่นและถ่ายรูปบริเวณท่าเทียบเรือ และเพื่อนผมคนนี้แหละครับที่ทำให้ผมกับภรรยาได้มาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ขอบคุณครับ


Lake Ashi
Lake Ashi
Lake Ashi

พอถึงเวลาเก้าโมงครึ่งทางเจ้าหน้าที่ท่าเรือก็เปิดให้ซื้อตั๋วและเดินขึ้นเรือได้ ค่าตั๋วโดยสารเรือคนละ 2,000 เยน เรือทัศนาจรที่เราจะล่องนี้เป็นเรือโจรสลัดลำสีเขียวที่มีชื่อว่า "เพอร์เซอร์" เป็นเรือลำใหญ่พอสมควร มีจุดให้ถ่ายรูปมากมายพร้อมกับวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบอะชิให้ได้ชมกัน บางท่าก็ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังไททานิกเลย (คิดเอาเอง) เช้าวันที่เราล่องเรืออยู่ในทะเลสาบอะชิเป็นวันที่มีเมฆมากและลอยต่ำหรือเรียกว่าฟ้าปิด ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลย เราใช้เวลาทัศนาจรประมาณ 30 นาทีจนถึงท่าเรือโทเง็นได เราซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวดังนั้นเราจึงต้องขี้นฝั่งที่ท่านี้และรถบัสของเราก็ได้มาจอดคอยที่นี่แล้ว


เรือทัศนาจรทะเลสาบอะชิ
เรือทัศนาจรทะเลสาบอะชิ
เรือทัศนาจรทะเลสาบอะชิ
Lake Ashi

หลังจากเดินซื้อเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวแล้วเราก็ขึ้นรถบัสและออกเดินทางกันต่อ ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาทีก็มาถึงฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ชื่อ Wada ที่อยู่ใจกลางทุ่งนาอันกว้างไกล ที่ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่นี้เจ้าของฟาร์มจะเก็บค่าหัวสำหรับคนที่จะเข้าไปในฟาร์มคนละ 2,200 เยนโดยสามารถเข้าไปเดินชมในสวน ถ่ายรูป และเลือกเด็ดผลสตรอว์เบอร์รี่สดๆจากต้นมาทานเองได้เลย แต่ขออย่างเดียวห้ามนำกลับออกมาจากฟาร์ม หากต้องการนำออกเพื่อไปฝากคนอื่นหรือกลับไปทานที่บ้าน ทางเจ้าของฟาร์มก็มีบรรจุใส่เป็นแพ็คเก็จเอาไว้ให้เราได้ซื้อไว้แล้ว สตรอว์เบอร์รี่ที่นี่ลูกสวยและใหญ่มาก คณะเราซื้อกลับไปกันหลายคนเลย แต่ผมกับภรรยาไม่ได้ซื้อเพราะไม่อยากแบกครับ


ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ในญี่ปุ่น
นาข้าวในญี่ปุ่น
ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ในญี่ปุ่น
ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ในญี่ปุ่น

เสร็จจากที่นี่เราก็เดินทางไปเมืองคะมะกุระ (Kamakura) ในจังหวัดคะนะงะวะ (Kanagawa) กันต่อ ระหว่างทางแวะหาซื้อของที่ร้านยา SEIMS และหาของกินรองท้องมื้อเที่ยงด้วย เรามาถึงเมืองคะมะกุระประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆและตรงไปยังวัดโคโตะกุ (Kotoku Temple) เพื่อเที่ยวชมพระพุทธรูปไดบุทสึองค์ใหญ่ (Kamakura Daibutsu Statue) ที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองคะมะกุระ การเข้าไปชมก็จะมีค่าเข้าชมคนละ 220 เยนครับ


ร้านยา SEIMS
วัดโคโตะกุ

เมื่อเข้ามาแล้วก่อนจะเดินไปชมองค์พระพุทธรูปไดบุทสีใกล้ๆก็ต้องตักน้ำที่บ่อน้ำด้านหน้ามาชำระสิ่งสกปรกออกซะก่อนตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น โดยใช้มือขวาจับกระบวยตักน้ำแล้วมาล้างมือซ้าย จากนั้นก็ใช้มือซ้ายจับกระบวยตักน้ำแล้วมาล้างมือขวาครับ เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปถ่ายรูปกับองค์พระใหญ่ (Great Buddha Statue) ใกล้ๆกันเลยครับ ส่วนบริเวณรอบๆวัดก็ดูร่มรื่นมีต้นไม้ใหญ่เยอะดี แถมมีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นบ้างเหมือนกัน


วัดโคโตะกุ
พระพุทธรูปไดบุทสึองค์ใหญ่
พระพุทธรูปไดบุทสึองค์ใหญ่
วัดโคโตะกุ
วัดโคโตะกุ

เราเดินถ่ายรูปกันจนถึงประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็รู้สึกหิว ก็เลยพากันเดินออกไปหาของทานกันดีกว่า เดินออกมาตามถนนตรงมาเลื่อยๆก็มาเจออยู่ร้านนึงเป็นชุดอาหารญี่ปุ่นดูน่าทานดี อาคารนี้มีสองชั้นผมเลือกร้านที่อยู่ชั้นล่างเพราะคนน้อยดีครับ เรารีบทานด้วยความหิวและมีนัดขึ้นรถบัสตอนห้าโมงเย็น เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พักที่เป็นโรงแรมในกรุงโตเกียว (Tokyo) อยู่ติดกับย่านชินจูกุ (Shinjuku) หากไปช้าเดี๋ยวรถจะติดมากและไปถึงดึกเกินไป


อาหารญี่ปุ่น
อาหารญี่ปุ่น

รถบัสเดินทางจากเมืองคะมะกุระจนมาถึงโรงแรมที่พักเวลาประมาณหนึ่งทุ่มใช้เวลาราวๆสองชั่วโมง คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ครับ โรงแรม ชินจูกุ วอชิงตัน (Shinjuku Washington Hotel) โรงแรมนี้ค่อนข้างใหญ่ ดูสิครับภรรยาผมตัวเล็กไปเลย ที่พักนี้อยู่ห่างจากย่านรับประทานอาหารและย่านช้อปปิ้งอันทันสมัยของชินจูกุ โดยใช้เวลาเดินเท้าเพียงห้านาทีเท่านั้น ซึ่งถือว่าใกล้มากเลยทีเดียว และภายในห้องพักก็มีฟรีไวไฟให้เล่นได้ด้วย หลังจากเช็คอินเก็บกระเป๋าเดินทางกันเรียบร้อยแล้ว เราก็นัดกันไปเดินเล่นและหาของทานในย่านชินจูกุยามค่ำคืนกัน


โรงแรม ชินจูกุ วอชิงตัน
ย่านชินจูกุ

ร้านนี้แหละครับ L'Occitane Cafe ที่จะแนะนำมาลองทานกัน ภายในร้านจะตกแต่งด้วยโทนสีส้ม ซึ่งมันจะกระตุ้นสมองของเราให้ทานอาหารได้มากขึ้น ในวัฒนธรรมของญี่ปุ่นการสั่งรายการอาหารที่ร้านอาหารควรต้องสั่งอย่างน้อยคนละ 1 รายการ หากมากัน 2 คนแล้วสั่งมาเพียง 1 อย่างเพื่อมาทานร่วมกันแบบนี้คนญี่ปุ่นเขาไม่ทำกันครับ เราสั่งขนมหวานพร้อมกับเครื่องดื่มที่แสนอร่อย ใครที่เป็นขาประจำขนมหวานแนะนำเลยครับ ตอนนี้ห้าทุ่มก็ดึกมากแล้วได้เวลาเดินกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนเอาแรงตามอัธยาศัย แล้วพบกันวันพรุ่งนี้ครับ


ร้านขนมหวาน L'Occitane Cafe
ร้านขนมหวาน L'Occitane Cafe
ร้านขนมหวาน L'Occitane Cafe



โปรดติดตามรีวิวตอนต่อไป ตอนที่ 4
ย้อนกลับไปรีวิวตอนที่แล้ว  ตอนที่ 2ตอนที่ 1

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)