เช้าวานนี้ยังยืนดูวิวแลนด์สเคป (Landscape) อยู่เลย เช้าวันนี้เปลี่ยนมาเป็นวิวซิตี้สเคป (Cityscape) แห่งเมืองโตเกียว (Tokyo) ที่มีตึกสูงระฟ้าอยู่มากมายแทน ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่ที่ห้องอาหารชั้นบนสุดของโรงแรมที่พัก เพื่อมารับประทานอาหารมื้อเช้าแบบบุฟเฟ่ต์นานาชาติพร้อมกับชมวิวทัศนียภาพระดับเส้นขอบฟ้ากัน เราตื่นนอนกันตอนหกโมงครึ่งล้างหน้าแปลงฟันกันเสร็จเรียบร้อยก็ขึ้นไปทานอาหารมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมกันประมาณเจ็ดโมงเช้า หลังจากอิ่มเรียบร้อยแล้วก็ลงมาเข้าห้องนอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและแพ็คกระเป๋าเดินทางเพื่อเตรียมตัวเช็คเอาท์ออกกันเลย
รถบัสที่เราได้เช่ามาตั้งแต่วันแรกนั้นเราได้เช่ามาแค่สามวันเท่านั้น หลังจากนี้เราเดินทางในเมืองหลวงโตเกียวจะใช้บริการรถไฟฟ้าแทนครับ แต่เราจะไม่ลากกระเป๋าเดินทางไปด้วยนะครับ ดังนั้นหลังจากเช็คเอาท์เสร็จกันประมาณเกือบเก้าโมงเช้าแล้วเราก็ทำการฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับจุดรับฝากกระเป๋าของโรงแรม แล้วก็ซื้อตั๋วโดยสารรถแอร์พอร์ทลีมูซีนบัส (Airport Limousine Bus) เที่ยวสุดท้ายเวลาห้าโมงเย็นในราคาคนละ 3,100 เยนเตรียมไว้เลย เพื่อโดยสารจากโรงแรมที่นี่ไปยังท่าอากาศยานสนามบินนานาชาตินะริตะ (Narita International Airport) ในเมืองนะริตะ (Narita) จังหวัดชิบะ (Chiba)
เนื่องจากในวันนี้จะเห็นว่าเรามีเวลาเที่ยวในโตเกียวไม่มากนัก คณะเราได้วางแผนจ้างไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นที่เป็นชาวไทยไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อจะได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและไม่เสียเวลาในการเดินทาง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็ลุยกันเลยครับ ตามที่เกริ่นไว้แล้วว่าวันนี้เราจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้า (Subway) เราก็เลยซื้อบัตรโดยสารแบบเดินทางกี่เที่ยวก็ได้ภายในหนึ่งวันในราคาใบละ 2,000 เยนครับ
ขึ้นๆลงๆรถไฟฟ้าแล้วก็เดินสักพักก็มาถึงแล้วครับ วัดเซ็นโซ (Senso Temple) ซึ่งเป็นวัดศาสนาพุทธในย่านอะสะกุสะ (Asakusa) ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าอะสะกุสะ (Asakusa Station) เราเดินผ่านทางเข้า Kaminarimon หรือ Thunder Gate ซึ่งเป็นประตูหลักด้านนอกที่จะนำเราเข้าไปถึงตัววัดเซ็นโซ ถ่ายรูปคู่กับโคมไฟสีแดงยักษ์สักหน่อย ระหว่างทางที่เราเดินบนถนนนากามิเสะจะมีร้านค้าขายของกินและของที่ระลึกต่างๆอยู่ริมสองข้างทาง (Nakamise Shopping Street) ให้เราได้ซื้อหากลับมาเป็นของฝากได้
เดินตรงต่อมาเรื่อยๆก็จะพบกับทางเข้าหรือประตูหลักชั้นในที่มีชื่อว่า Hozomon หรือ Treasure-House Gate และก็มีโคมไฟสีแดงยักษ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดแห่งนี้ให้เราได้ถ่ายรูปกันอีก ทางด้านซ้ายมือก็จะมีเจดีย์ใหญ่ขนาดห้าชั้นและมีรูปปั้นพระให้เราได้กราบไหว้ขอพรกันครับ เดินตรงผ่านประตู Hozomon ก็จะเจอตัววัดเซนโซให้เราได้ทำบุญบริจาคและกราบไหว้ขอพรกันครับ
หลังจากเดินชมและถ่ายรูปจนทั่วแล้วเราก็เดินกลับออกมาทางเดิมเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าครับ แต่ก่อนจะออกจากที่นี่ก็ขอลองซื้อขนมกับกาแฟกินสักหน่อยเพราะดูแล้วน่ากินจริงๆ เรานั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานีซึกิจิชิโจ (Tsukijishijo Station) เดินออกทางออก A1 แล้วเลี้ยวขวาเดินไปอีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงแล้วครับทางขวามือ ตลาดสดปลาซึกิจิ (Tsukiji Nippon Fish Port Market)
อาหารกลางวันมื้อนี้เราจะมาทานกันที่นี่ครับ แต่จะรีวิวแนะนำร้านไหนตามมาดูกันเลย เราเดินเลี้ยวขวาตรงเขามาเลยครับ คนเดินซื้อของกันเยอะเดินเบียดเสียดกันมาก ภาพตัวอย่างสินค้าบางส่วนที่ขายอยู่ในตลาดสดนี้มี ไข่ปลาแซลมอนสีส้มแดงบรรจุกล่องพร้อมขาย ตัวอะไรก็ไม่ทราบน่าจะเป็นปลิงทะเล นอกจากสัตว์ทะเลแล้วก็ยังมีผักและผลไม้ด้วยครับ
มาถึงแล้วครับร้านอาหารที่เราจะมาทาน มาถึงดินแดนปลาดิบทั้งทีแล้วจะไม่ทานปลาดิบได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นจะถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น นั่นเป็นเหตุผลที่เรามาที่ตลาดสดปลาแห่งนี้ ถึงแม้เมนูจะมีแต่ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เป็นปัญหาครับเพราะมีรูปภาพพร้อมกับราคา อาหารสดมากๆเนื้อปลานุ่มละลายในปาก ภรรยาผมออกมายืนยันอีกครั้งครับว่าอร่อยมากจริงๆ
ทานกันจนอิ่มแล้วเราก็ออกจากที่นี่กันประมาณบ่ายโมงตรง พวกเราคุยกันแล้วอยากจะช้อปปิ้งซื้อของฝากก็เลยตกลงกันว่าไปตึกม่วงต่อกันดีกว่า พิกัดตึกม่วงหรือชื่อในภาษาญี่ปุ่นก็คือตึกทาเคยะ (Takeya Building) จะอยู่ในย่านไทโต (Taito) ติดกับย่านอุเอะโนะ (Ueno) ส่วน
ข้อมูลเพิ่มเติมของตึกทาเคยะนี้สามารถเข้าไปดูที่เว็บไซต์ https://takeya.co.jp/thai/ นี้ได้ครับครับ สินค้าญี่ปุ่นที่ขายอยู่ในประเทศญี่ปุ่นอาจจะถูกผลิตมาจากประเทศอื่นก็ได้นะครับ เพื่อนผมคนไทยเคยซื้อฝาปิดหน้าเลนส์กล้องถ่ายรูปยี่ห้อดังมา แต่พอกลับมาที่ห้องนำมาสังเกตุดูดีๆอีกทีปรากฏว่าผลิตจากประเทศไทยครับ เราช้อปปิ้งกันเสร็จประมาณบ่ายสามโมงก็ต้องรีบกลับโรงแรม เพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางและขึ้นรถแอร์พอร์ทลีมูซีนบัสเที่ยวสุดท้ายกันครับ
ห้องนอนมีขนาดกว้างขวาง มีเตียงนอนสองเตียง โต๊ะเก้าอี้ ทีวีจอแบน ตู้เย็น กาต้มน้ำร้อน เครื่องปรับอุณหภูมิภายในห้องให้อบอุ่น ในห้องน้ำก็มีอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับชำระร่างกายครบ เช่น ผ้าเช็ดตัว สบู่เหลวอาบน้ำ น้ำยาสระผม ที่โกนหนวด แปลงกับยาสีฟัน และมีฝักบัวพร้อมอ่างอาบน้ำด้วยครับ ส่วนในตู้เสี้อผ้าก็จะมีไม้แขวนเสื้อผ้าหลายอัน ที่รองรีดผ้ากับเตารีด และรองเท้าแตะสำหรับใส่ในห้องนอนให้ด้วยครับ
เมื่อเราเช็คอินและเก็บกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว เราก็นัดกันออกไปหาทานมื้อค้ำและช้อปปิ้งกันที่ห้างอิออน (AEON MALL Narita) โดยขึ้นรถชัทเทิลบัส (Shuttle Bus) ที่ให้บริการฟรีสำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นลูกค้าของโรงแรม วิ่งระหว่างโรงแรมกับห้างอิออนทั้งไปและกลับครับ หลังจากทานอาหารและเดินช้อปปิ้งเสร็จจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็กลับมาที่โรงแรมเกือบๆสี่ทุ่ม อาบน้ำ แพ็คกระเป๋าเดินทางเตรียมไว้เลย และเข้านอนทันทีเพราะต้องตื่นแต่เช้าตรู่
เช้าวันสุดท้ายเราเช็คเอ้าท์และทานอาหารบุฟเฟ่ของโรงแรมกันเร็วหน่อยประมาณหกโมงครึ่งเพื่อให้ทันกับรอบรถชัทเทิลบัสที่จะมารับและไปส่งที่สนามบินนะริตะตอนประมาณเจ็ดโมงเช้าครับ เรามาถึงสนามบินตามกำหนดเวลาที่วางไว้ ทำการเช็คอินและผ่านขั้นตอนการตรวจต่างๆเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นก็รอขึ้นเครื่องสายการการบินแอร์เอเชียเอ็กซ์เดินทางกลับในเวลาเก้าโมงเช้า ออกจากท่าอากาศยานสนามบินนานาชาตินะริตะถึงท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ...สวัสดีครับ ^_^
มาถึงช่วงสุดท้ายที่ทุกท่านน่าจะอยากรู้ครับ สรุปค่าใช้จ่ายต่างๆในทริปนี้สำหรับ 2 คน โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินที่ 0.3
- ค่าที่พักรวมอาหารเช้า 35,580 บาท
- ค่าเดินทาง 31,376 บาท
- ค่าอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็น 4,068 บาท
- ค่าตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆ 1,758 บาท
- ค่าขนมและเครื่องดื่ม 1,696 บาท
- ค่าทิปคนขับรถบัสและไกด์ที่โตเกียว 1,500 บาท
- รวมทั้งหมดประมาณ 76,000 บาท
ย้อนกลับไปรีวิวตอนที่แล้ว ตอนที่ 3, ตอนที่ 2, ตอนที่ 1