หลังจากเราขึ้น🚃รถไฟฟ้า JR Hokkaido Train
จากสนามบินใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง สถานี SHIN-SAPPORO(JR) [H05]
เดินออกจากรถไฟฟ้าแล้วก็ลงลิฟต์มาชั้นที่มีประตูทางออกสถานี
จากนั้นก็เดินไปทางซ้าย จะมีป้ายบอกทางไปลิฟต์เพื่อลงไปต่อรถไฟใต้ดินสายสีส้ม
Subway Tozai Line สถานี SHINSAPPORO(SUBWAY) [T19]
หากเดินไปทางขวาก็จะเป็นบันไดเลื่อนลงไปที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานี
SHINSAPPORO(SUBWAY) [T19] ได้เช่นเดียวกัน
ถ้าสัมภาระไม่เยอะแนะนำให้ไปลงทางบันไดเลื่อนเพราะระยะทางใกล้และเร็วกว่า
Music Video 1 | Music Video 2 |
ทำการซื้อตั๋ว🚇รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ ไปยัง สถานี NISHIJUITCHOME [T08]
ค่าโดยสารคนละ 330 เยน โดยวิธีซื้อตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดิน
สามารถไปดูบทความได้ที่ “แนะนำ วิธีซื้อตั๋วขึ้นรถและจ่ายค่าโดยสารของบริการระบบขนส่งมวลชนในเมืองซัปโปโร (JR, Subway, Streetcar, Bus in Sapporo)” จากนั้นให้ขึ้นขบวนรถที่ไป MIYANOSAWA
นั่งไปลง สถานี NISHIJUITCHOME [T08] แล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนที่มีประตูทางออกสถานี
แล้วเดินไปออกที่ ทางขึ้นลงที่ 1 ซึ่งจะมีลิฟต์ให้ใช้ขึ้นไปบนพื้นดินได้
เพราะเราแบกกระเป๋าเดินขึ้นบันไดไม่ไหว
แต่ถ้าไม่มีกระเป๋าเดินทางสามารถเดินขึ้นบันไดได้ที่ ทางขึ้นลงที่ 3
จะดีกว่าเพราะเป็นทางออกที่ใกล้กับโรงแรมของเรา
ออกมาจาก ทางขึ้นลงที่ 1 แล้วก็เดินต่อไปอีกประมาณ 300 เมตรก็ถึง🏨 โรงแรม อะป้า ซัปโปโร-โอโดริโคเอ็น (APA Hotel Sapporo-Odorikoen)
ที่เราจะใช้พักตลอดทริปนี้
เรามาถึงตอนเที่ยงพอดีสามารถทำการเช็คอินห้องพักที่เคาน์เตอร์ต้อนรับได้
แต่เรายังไม่สามารถเข้าห้องพักได้เพราะเรามาถึงก่อนเวลาที่โรงแรมจะเปิดให้เช็คอินเข้าพักในเวลา
14:00 น. หลัวจากเช็คอินเสร็จก็ทำการฝากกระเป๋าเดินทางไว้กับทางโรงแรม
เพราะเราจะออกไปเที่ยวกันก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บกระเป๋าเดินทาง
ตอนนี้หิวข้าวแล้วเราเดินไปซื้ออาหารมื้อเที่ยงที่ร้าน Lawson
ใกล้ที่พักกินกันก่อนราคา 1,180 เยน เสร็จแล้วเดินไปที่🌳 สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง และยังเป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆของ ฮอกไกโด อีกด้วย วันนี้ตามถนนหนทางเต็มไปด้วยกองหิมะบนพื้น
แต่ไม่มีหิมะตกเลยรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย และที่
สวนโอโดริ
ก็เดินเข้าไม่ได้ด้วยเพราะเจ้าหน้าที่กั้นพื้นที่เตรียมจัด งานเทศกาลหิมะซัปโปโร
ครั้งที่ 71 (The 71st Sapporo Snow Festival 2020) เลยอดเข้าไปถ่ายรูปในสวนโอโดริเลย
ไม่เป็นไรไม่รอช้าเราเดินไปเที่ยวกันต่อที่
ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (Former Hokkaido Government Office
Building) หรือรู้จักกันดีว่า ทำเนียบอิฐสีแดง เป็นอาคารตกแต่งสไตล์นีโอบาร็อค พอไปถึงก็มีเชือกกั้นไว้และไม่เห็นทางเข้าอาคารเปิดสงสัยคงจะปิดไม่ให้เข้า
เราก็เดินชมและถ่ายรูปบริเวณลานด้านหน้าสักพัก จากนั้นก็เดินไปเที่ยวต่อกันที่
หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower)
ในอาคารเปิดจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติความเป็นมาของหอนาฬิกา โดยมีค่าเข้าชมคนละ 200 เยน เด็กฟรี เวลาเปิดบริการ 8:45-17:10
น. (เข้าชมก่อน 17:00 น.) แต่เราไม่เข้าเพราะกลัวจะเสียเวลา
เลยขอแค่ถ่ายรูปด้านนอกก็พอใจแล้ว
เป้าหมายต่อไปก็เดินไปถ่ายรูปบริเวณรอบๆ🗼ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ (Sapporo TV Tower)
พอถึงเวลาประมาณ 16:00 น. เราก็เข้าไปใต้
ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ เพื่อขึ้นไปชมวิวเมือง
ซัปโปโร แบบพาโนรามา 360 องศาที่ระดับความสูง 90 เมตรในมุมสูงยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน สำหรับที่
ฮอกไกโด ในช่วงฤดูหนาวเวลา 5
โมงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว สำหรับค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 720 เยน
แต่ถ้าแสดงคูปองลดราคาจากแอปพลิเคชัน
ซัปโปโร อินโฟ (Sapporo Info) ในโทรศัพท์มือถือ
จะลดราคาลงเหลือเพียง 570 เยน เวลาเปิดบริการ 9:00-22:00 น. (เข้าชมก่อน 21:50
น.) เวลาปิดอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและช่วงที่มีการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ
จากชั้นพื้นดินเราจะต้องขึ้นไปยังชั้น 3
ก่อนโดยใช้วิธีขึ้นลิฟท์หรือจะเดินขึ้นก็ได้
แล้วไปต่อลิฟท์อีกตัวเพื่อขึ้นไปยังชั้นสำหรับชมวิว
เราอยู่ชมวิวกันจนฟ้ามืดก็ได้เวลาเดินกลับโรงแรมเพื่อไปจัดการเรื่องห้องพักก่อน
ระหว่างทางที่เดินก็สัมผัสกับอากาศหนาวและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
พอถึงโรงแรมติดต่อเจ้าหน้าที่ๆก็แจ้งหมายเลขห้องพักซึ่งเราได้ชั้น 4 พร้อมกับให้คีย์การ์ด และบอกว่ากระเป๋าเดินทางของเรา 2 ใบ
ได้เอาไปไว้ในห้องให้เราเรียบร้อยแล้ว
หลังจากสำรวจห้องและพักผ่อนจากอาการเมื่อยล้าแล้ว
เราก็ออกไปหาอาหารมื้อเย็นกินกัน วันนี้เราจะไปกิน มิโซะราเม็ง ที่
ตรอกราเม็ง
ออกจากโรงแรมเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินสายสีส้ม Subway Tozai Line สถานี
NISHIJUITCHOME [T08] ใช้ทางเข้า ทางขึ้นลงที่ 3 แล้วขึ้นขบวนรถที่ไป SHINSAPPORO
นั่งไปลง สถานี ODORI [T09]
แล้วเดินผ่านทางเชื่อมใต้ดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีเขียว Subway Nanboku Line
สถานี ODORI [N07] ขึ้นขบวนรถที่ไป MAKOMANAI นั่งไปลง สถานี SUSUKINO [N08]
ค่าโดยสารคนละ 210 เยน จากนั้นเดินออก ทางขึ้นลงที่ 5 หรือ 4 หรือ Susukino Bld.
ก็ได้แล้วเดินต่ออีกเพียง 100 เมตรก็ถึง ตรอกราเม็ง
ตรอกราเม็ง (Ganso Ramen Yokocho หรือ Original Ramen Alley)
จะเป็นตรอกทางเดินที่เชื่อมระหว่างซอย 2 ซอย
โดยที่สองข้างของทางเดินในตรอกนี้จะมีร้านอาหารเล็กๆที่ขาย🍜 มิโซะราเม็ง (Miso Ramen) อยู่หลายร้านติดๆกัน ทำเอาเลือกไม่ถูกเลยว่าจะเข้าร้านไหนดี
มีอยู่ร้านหนึ่งมองเข้าไปพอมีที่นั่งว่าง เห็นรูปอาหารหน้าร้านก็ดูดี และที่สำคัญเห็นป้าย
Tripadvisor ด้วยก็เลยเลือกร้านนี้ละกัน
เปิดประตูเข้าไปทางขวามือจะมีตู้จำหน่ายตั๋วสำหรับเลือกอาหาร
วิธีใช้ก็ไม่ยากที่ตู้นี้จะมีเมนูอาหารพร้อมภาพประกอบและราคาบอกเอาไว้
พอเราเลือกได้แล้วก็ให้ใส่ธนบัตรที่ช่องด้านบน จากนั้นก็กดปุ่มตรงเมนูที่ต้องการ
เครื่องก็จะจ่ายตั๋วออกมาที่ช่องด้านล่าง พร้อมกับเงินทอน (ถ้ามี)
เราก็เอาตั๋วที่ได้นี้ไปยื่นให้กับพ่อครัวแล้วก็นั่งรอลุ้นว่าหน้าตาและรสชาติที่เราสั่งไปจะเป็นอย่างไร
พอพ่อครัวทำเสร็จแล้วก็จะยื่นชามอาหารมาให้ พอได้ชิม
มิโซะราเม็ง คำแรกก็โอเคเลยครับอร่อยใช้ได้สมคำร่ำลือมื้อนี้ราคา 2,460 เยน
พอกินเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินออกมาชมแสงสียามราตรีที่ ซุซุกิโนะ (Susukino) เป็นแหล่งความบันเทิงที่ประกอบไปด้วยร้านอาหารและสถานบันเทิง แล้วไปต่อด้วย โพลทาวน์ (Pole Town) เป็นช้อปปิ้งมอลล์ที่อยู่ใต้ดิน และเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินด้วย
ซึ่งใช้เป็นทางเดินหลบความหนาวเย็นบนดินได้เป็นอย่างดี
พอถึงจุดแยกไปโรงแรมเราก็เดินขึ้นมาบนดินเพื่อกลับที่พักและพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยกันพรุ่งนี้ต่อ
ในวันนี้มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 1 ถึง -11 องศาเซลเซียส ...🏁