รีวิวแนะนำท่องเที่ยว ไปมาเก๊า 4 วัน 3 คืนด้วยตัวเองไม่ง้อทัวร์ (Macau Trip Season 1) [Episode 3/4]

0
และแล้ววันที่สามเราก็ทำสำเร็จในการถ่ายรูปคู่สุดหวานชื่นที่ไม่มีก้างขวางคอ วันนี้เราตื่นนอนกันตั้งแต่ตี 5 และเดินออกจากที่พักก่อน 6 โมงเช้าขณะที่ท้องฟ้ายังมืดมิดเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้ วันนี้รู้สึกได้ว่าอากาศเย็นขึ้นเล็กน้อยกว่าเมื่อวาน ยังไงก็ตามที่ซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอล ก็มีคนจีนแก่ๆอยู่สัก 2-3 คนที่มาเดินออกกำลังกายกันในตอนเช้าแต่ก็ไม่เป็นปัญหาในการถ่ายรูปของเรา

วันนี้เราถ่ายรูปคู่กับซากประตูโบสถ์ เซนต์ ปอล ก่อนเวลา 6:30 น. และเหมือนกับทำนัดหมายเอาไว้คณะทัวร์จีนกลุ่มแรกก็แห่กันมาตรงตามกำหนดเวลา 6:30 น. หลังจากนั้นกลุ่มทัวร์อื่นๆก็ทยอยตามกันเข้ามาเรื่อยๆจนเต็มพื้นที่ แต่ยังไงเราก็พอได้รูปใกล้เคียงกับที่เราตั้งใจเอาไว้แล้ว



เราถ่ายรูปได้สักครู่เห็นว่าคนเริ่มพลุกพล่านมากขึ้นก็เลยเดินกลับโรงแรมที่พักก่อนดีกว่า พอประมาณ 8:30 น. เราก็ออกจากโรงแรมเพื่อไปทานมื้อเช้าที่ร้านอาหาร หวองชิกี่ 黃枝記 (Wong Chi Kei) ในจัตุรัส เซนาโด เมนูอาหารที่นี่มีทั้งรูปภาพและภาษาอังกฤษกำกับทำให้สั่งง่ายดี รายการอาหารที่เราสั่งก็มี เกี๊ยวน้ำ (Wonton in soup) ราคา 48 MOP และบะหมี่หมูย่างน้ำ (Grilled pork chop w/noodle in soup) ราคา 42 MOP 

อิ่มท้องแล้วเราก็ไปขึ้นรถเมล์สาย 3A ที่ป้าย ALMEIDA RIBEIRO/TAI FUNG นั่งไป 9 ป้ายแล้วลงที่ป้าย RUA DE MALACA (หรือจะลงก่อนหน้าป้ายนี้ 1 ป้ายก็ได้) ค่าโดยสารคนละ 3.2 MOP จากนั้นก็เดินข้ามสะพานลอยไปก็ถึง มาเก๊า ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ


มาเก๊า ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ (Macau Fisherman's Wharf) เป็นสถานที่สันทนาการในรูปแบบ ธีม เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพลกซ์ (Themed Entertainment Complex) ที่มีทั้ง ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า โรงแรม คาสิโน ท่าเทียบเรือ แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยด้านความบันเทิงต่างๆ แต่จุดประสงค์ที่เรามาเที่ยวในครั้งนี้ก็เพื่อถ่ายรูป เพราะที่นี่มีการออกแบบสถาปัตยกรรมตามเรื่องราวเด่นๆในยุโรป ถ้าเน้นมาถ่ายรูปให้มาช่วงเช้าเพราะคนน้อย แต่ถ้าเน้นกินเที่ยวช้อปปิ้งให้มาหลังเที่ยงเพราะผมอยู่ที่นี่จนเกือบเที่ยงร้านค้าก็ยังไม่เปิดกันเลย

เราออกเดินทางจาก มาเก๊า ฟิชเชอร์แมน วาร์ฟ เพื่อไปเที่ยวกันต่อที่ วัดอาม่า โดยไปขึ้นรถเมล์สาย 10A ที่ป้าย AV.DR.SUN YAT-SEN/AV.AMIZADE นั่งไป 13 ป้ายแล้วลงที่ป้าย TEMPLO A MA ค่าโดยสารคนละ 3.2 MOP





พอลงรถเมล์เราก็เดินหาร้านอาหารเพื่อทานมื้อเที่ยงกันก่อนที่จะไปวัด เราทานที่ร้าน cha ซึ่งอยู่ใกล้ๆป้ายรถเมล์ รายการอาหารที่สั่งก็มี ข้าวหมูแกงกะหรี่ และข้าวหมกแกงกะหรี่ไก่ทอด ราคารวม 70 MOP เมนูในร้านไม่มีภาษาอังกฤษมีแต่รูปที่ติดอยู่บนผนังให้เราเลือกได้

ทานมื้อเที่ยงเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็มีแรงเดินกันต่อ เราเริ่มจาก วัด อาม่า (A-Ma Temple) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของมาเก๊า มีเรื่องเล่าว่าเมื่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวโปรตุเกสรุ่นแรกล่องเรือมาถึงในศตวรรษที่ 16 และได้ผ่านมายังวัดแห่งนี้ (สมัยก่อนวัดนี้อยู่ริมทะเลเพราะยังไม่มีการถมทะเลออกไป) จึงได้ถามถึงชื่อเกาะกับชาวบ้านแถวนี้ แต่ชาวบ้านคิดว่าถามชื่อวัด จึงได้ตอบไปว่า "อามา เกา" ดังนั้นชาวโปรตุเกสจึงเรียกสถานที่นี้ว่า "มาเก๊า"

จากวัด อาม่า เราเดินไปตามทางเดิน Calcada da Barra ที่อยู่ข้างวัด เดินขึ้นไปตามเนินเขาประมาณ 200 เมตรก็จะพบกับ ค่ายทหารชาวมัวร์ (Moorish Barracks) เดิมใช้เป็นที่พักอาศัยของกองทหารชาวอินเดียจากเมืองกัว การออกแบบสถาปัตยกรรมตัวอาคารจึงได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมอิสลาม เดินชมและถ่ายรูปข้างนอกได้แต่ไม่ต้องเข้าไปข้างในเพราะเป็นสถานที่ทำงานขององค์การบริหารการเดินเรือมาเก๊า




เราเดินตรงไปตามทางเรื่อยๆอีกประมาณ 300 เมตรก็จะถึง คฤหาสน์ แมนดาริน (Mandarin's House) คฤหาสน์แห่งนี้เป็นที่พักอาศัยของนักคิดชาวจีนผู้มีชื่อเสียง เฉิน กวน ยิง (Zheng Guanying) ตัวอาคารมี 2 ชั้นมีเนื่อที่กว่า 4,000 ตารางเมตร สร้างตามสไตล์จีนโบราณผสมผสานสไตล์ต่างประเทศเข้ามาใช้ร่วมด้วย สามารถเข้าชมได้ฟรีตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. และปิดวันพุธ เนื่องจากที่คฤหาสน์นี้มีขนาดใหญ่และมีจำนวนห้องมากมาย เราเลยใช้เวลาเดินชมกันอยู่ในนี้พอสมควร

ได้เวลาไปต่อที่สุดท้ายของวันนี้ซึ่งอยู่ห่างจากคฤหาสน์ แมนดาริน ประมาณ 300 เมตรขึ้นไปบนยอดภูเขา เพนญ่า ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของภูเขาในมาเก๊า และบนปลายสุดยอดเขานี้เองที่เป็นที่ตั้งของ โบสถ์ พระแม่ เพนญ่า (Chapel of Our Lady of Penha) ที่มีความคลาสิกและตั้งอยู่อย่างสง่างามบนยอดเขานี้ อีกทั้งที่บนนี้ยังสามารถชมเมืองมาเก๊าได้กว้างไกล จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้เป็นสถานที่ยอดฮิตแห่งนึงในการมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง

เราลงจากเขา เพนญ่า ประมาณ 17:30 น. ไปขึ้นรถเมล์สาย 16 ที่ป้าย RUA DA PENHA นั่งไป 5 ป้ายแล้วลงที่ป้าย PRAIA GRANDE/SI TOI ค่าโดยสารคนละ 3.2 MOP จากนั้นเราก็เดินไปหาทานอาหารมื้อเย็นกันที่ร้าน หวองชิกี่ ร้านที่เราเพิ่งทานกันในตอนเช้า คราวนี้เราสั่ง บะหมี่ราดไข่กุ้ง ราคา 78 MOP และข้าวหมูย่างราดซอส ราคา 55 MOP


ทานเสร็จเราก็ออกไปเดินเล่นย่อยอาหารในจัตุรัส เซนาโด แวะซื้อขนมทานเล่น และเดินกลับโรงแรมที่พักเพื่อพักผ่อนเก็บแรงไว้ลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้

สรุปค่าใช้จ่ายวันนี้
ค่าอาหาร                293  MOP
ค่าขนม                     20  MOP
ค่ารถเมล์               19.2  MOP
รวม                   332.20  MOP



โปรดติดตามรีวิวตอนต่อไป  4/4
ย้อนกลับไปรีวิวตอนที่แล้ว  1/4, 2/4 

แสดงความคิดเห็น

0ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น (0)